โดย พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่ แอคชัวรี) FSA, FIA, FSAT, FRM - นายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
ผมได้อ่านถึงบทสัมภาษณ์ของ “แจ็ค หม่า” กับ CNBC และดูรายการที่ “แจ็ค หม่า” เคยสัมภาษณ์อยู่หลายอัน ทำให้เห็นถึงแนวคิดในการประสบความสำเร็จ โดยได้อธิบายว่าในแต่ละช่วงอายุ ควรมุ่งเน้นไปทิศทางไหนบ้าง เพราะจะมีเคล็ดลับความสำเร็จที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วงอายุ ซึ่งจะเป็นฐานที่จะคอยส่งเสริมเวลาที่อายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น ตอนที่อายุยังน้อย ยิ่งวางแผนได้ง่ายกว่าตอนที่อายุเยอะแล้ว แต่คนที่เดินทางมาค่อนชีวิตแล้วก็ไม่ต้องเสียใจไปครับ ยังสามารถอ่านบทความนี้เพื่อตามหาเส้นทางของตัวเองได้อยู่
บทความนี้จึงนำแนวคิดของบทสัมภาษณ์ที่ชื่อว่า How to be successful in your 20s, 30s, 40s and beyond
แหล่งที่มาของข้อมูล : https://www.cnbc.com/2018/01/30/jack-ma-dont-fear-making-mistakes-in-your-20s-and-30s.html
1. ก่อนอายุ 20-25 ปี | ผิดพลาดให้เต็มที่
คนเรานั้นไม่ต้องห่วงหรือกังวลเรื่องความผิดพลาด เพราะหากผิดพลาดก็แค่ลุกขึ้นมาใหม่ คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้ดูกันที่ทำอะไรแล้วสำเร็จ แต่มันอยู่ที่ว่าล้มแล้วจะลุกขึ้นยืนได้หรือไม่ต่างหาก ถ้าจะผิดพลาดก็ทำให้มันเต็มที่ พร้อมที่จะเรียนรู้ไปกับมัน เพราะโรงเรียนได้แต่สอนในการทำสิ่งที่ถูก แต่ชีวิตจริงนั้นมันต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด และก้าวกระโดดขึ้นไป มันเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน ก่อนจะอายุ 25 ปี นั้น เป็นช่วงเวลาที่จะซึมซับความรู้ และสั่งสมประสบการณ์ได้ดีที่สุด หลายคนจบมาทำงานเพื่อหวังเงินเดือนสูงๆ แต่นั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ “แจ๊ค หม่า” คิด เพราะเขากลับมองว่าประสบ การณ์ต่างหากที่เงินในช่วงนั้นหาซื้อไม่ได้
ก่อนอายุ 25 ปีนั้น ควรลงทุนเวลาของตัวเองเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากและหลากหลายที่สุด โดยไม่ควรเอาเวลาไปแลกกับเงิน
2. ก่อนอายุ 30 ปี | เลือกทำงานหานายที่ดี
ผมเห็นด้วยกับ “แจ๊ค หม่า” ที่ว่ามันไม่สำคัญว่าเราจะไปทำงานที่บริษัทไหน แต่สำคัญที่นายของเราเป็นใคร เพราะนายที่ดีจะเป็นอาจารย์ที่สอนให้เรารู้จักการเรียนรู้ที่ต่างออกไป จงติดตามนายที่ดี จงทำตามเขา เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมนั้น ในสมัยที่ไปทำงานที่ฮ่องกง ได้เคยติดตามหัวหน้าคนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้น ๆ แต่ผมก็ได้ข้อคิดและแบบอย่างมากมายที่พอกลับมาคิดทบทวนดูแล้ว มันเป็นสิ่งที่ตีมูลค่าไม่ได้จริง ๆ กับการที่ได้เจอนายที่ดี และมีอิทธิพลกับวิธีคิดในการทำงานอย่างมืออาชีพ
“แจ๊ค หม่า” ให้สัมภาษณ์ว่า จงไปที่บริษัทเล็ก เพราะปกติแล้วบริษัทใหญ่ ๆ จะให้เรารู้จักแค่กระบวนการทำงาน และเราก็จะกลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเครื่องจักรขนาดใหญ่ แต่เมื่อเราไปบริษัทเล็ก ๆ เราจะได้เรียนรู้ถึง passion และความฝัน รวมถึงขัดเกลา common sense และไหวพริบของเรา
แน่นอนว่าบริษัทเล็กย่อมมีสวัสดิการ เงินเดือน และความมั่นคงที่สู้บริษัทใหญ่ไม่ได้ แต่ในช่วงอายุนี้เป็นช่วงของการค้นหาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ค้นหาครู ค้นหาวิชา ค้นหาวิธีขัดเกลาพัฒนาตัวเอง ซึ่งบริษัทเล็กจะมีโอกาสมากกว่า
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าบริษัทเล็กทุกบริษัทจะดีกว่าเสมอไป ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น “แจ๊ค หม่า” ไม่ได้หมายถึงว่า บริษัทใหญ่จะเป็นบริษัทที่ไม่ดี เพียงแต่บริษัทใหญ่นั้น ทุกอย่างมันถูกสร้างจนนิ่งเป็นระบบไปหมดแล้ว เลยอาจปิดกั้นโอกาสทางความคิดและความสามารถที่ซ่อนเร้นของเราโดยไม่รู้ตัว แต่คนส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะทำงานบริษัทใหญ่เพราะแลกมาด้วย สวัสดิการและเงินเดือนที่ดี ซึ่งถ้าได้นายที่ดีด้วย ก็จะโชคดีมาก
3. อายุ 30-40 ปี | เริ่มเป็นนายตัวเอง
หากเราต้องการเป็นผู้ประกอบการแล้ว ก็สามารถออกมาเริ่มต้นได้ในช่วงอายุนี้ เนื่องจากการสั่งสมประสบการณ์มากขึ้นจนสามารถที่จะออกมาเป็นนายตัวเองได้ โดย “แจ๊ค หม่า” สนับสนุนให้คนออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมคิดว่าชีวิตเราสามารถเลือกทางเดินได้ ผมเห็นด้วยกับ “แจ๊ค หม่า” ว่าช่วงจังหวะชีวิตนี้เป็นช่วงที่สามารถออกมาทำธุรกิจของตัวเองได้ แต่ในมุมกลับกัน ช่วงอายุนี้ก็เป็นช่วงที่ให้เราตัดสินใจว่าอยากจะเป็นมนุษย์เงินเดือนหรืออยากจะประกอบธุรกิจของตัวเอง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาเป็นเจ้าของธุรกิจได้
ความเสี่ยงและความกดดันของการเป็นเจ้าของกิจการนั้นมีเยอะ การตัดสินใจตรงช่วงชีวิตนี้เป็นเรื่องสำคัญ ควรคิดให้ดี อย่างผมเองนั้นใช้เวลาตรึกตรองอยู่ 3 – 5 ปี จนมั่นใจว่าจะเลือกชีวิตแบบไหน และถ้าได้คิดจนตกผลึกได้ดีแล้ว ชีวิตจะมีความสุขมากกับการเลือกเส้นทางของชีวิตที่ตนเองได้เลือกไว้
4. อายุ 40-50 ปี | โฟกัสงานที่ถนัด
ถึงจังหวะนี้ เราจะต้องทำงานที่ชำนาญที่สุด อย่าไปมองหางานประเภทใหม่ ๆ เพราะมันสายไปแล้ว เราอาจจะทำสำเร็จ แต่โอกาสที่จะล้มเหลวนั้นมันใหญ่เกินไป ให้เราโฟกัสในสิ่งที่เราถนัดดีกว่า หมดโอกาสค้นหาตัวเองในจุดนี้แล้ว ให้ต่อยอดจากสิ่งที่เรามีอยู่จะดีกว่าครับ
อนึ่ง อายุในช่วงนี้ถ้ายังไม่ได้มีครอบครัว ก็คงเลือกได้แล้วว่าจะเป็นโสดไปตลอด การวางแผนทางการเงินและการใช้ชีวิต ก็แตกต่างกัน ในช่วงอายุนี้จะเป็นวัยแห่งการมองหาประกันชีวิต หลักมั่นคง และการวางแผนการเกษียณ อีกทั้ง ต้องหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
5. อายุ 50-60 ปี | หาผู้สืบทอด
“แจ๊ค หม่า” แนะนำให้เราทำงานเพื่อคนรุ่นหลัง เพราะคนรุ่นหลังที่ยังเป็นหนุ่มสาวจะทำงานเก่งกว่าเรา เราจงพึ่งพาเขา จงลงทุนในเขา ทำให้พวกเขามีความสามารถ ให้เขาสามารถทำงานแทนคุณได้ โดยในส่วนตัวผมเอง เราสามารถมองหาผู้สืบทอดให้เร็วกว่าในช่วงอายุนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องรอถึงอายุ 50 ก่อนจึงหาผู้สืบทอด
จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมเห็นว่าเราเริ่มหาลูกศิษย์และผู้สืบทอดของเราได้ตั้งแต่อายุ 40 ครับ แต่ในวัยนี้ ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของแต่ละคนว่าไปถึงจุดไหน ถ้าไปถึงได้ไกล มีการวางแผนทางการเงินและการเกษียณเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถทำงานเพื่อสังคมให้มากขึ้นได้
อนึ่ง คนในวัยนี้จะเริ่มให้ความสำคัญและมองเห็นว่าสุขภาพสำคัญมากกว่าเงินครับ
6. อายุมากกว่า 60 ปี | พักผ่อนอย่างมีความสุข
ในจุดนี้ ถ้ามีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีสุขภาพที่ดี ก็คงเรียกว่าเกษียณอย่างมีความสุขไม่ได้ “แจ๊ค หม่า” กล่าวไว้ว่า “จงใช้เวลาเพื่อตนเองอย่างเต็มที่ ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราควรจะพักผ่อนมากที่สุด ละจากการงานทุกอย่าง และใช้ชีวิตท่ามกลางความสุขที่เราต้องการ ซึ่งนี่ก็คือความสำเร็จที่ดีที่สุดในชีวิตของเรานั่นเอง” แต่ในมุมมองของผมนั้น การเกษียณไม่ได้แปลว่าต้องหยุดทำงาน แต่มันหมายถึงได้ทำหรือได้ใช้ชีวิตในสิ่งที่อยากทำ โดยไม่มีข้อผูกมัดหรือข้อกังวลใด ๆ
การพักผ่อนอย่างมีความสุขของผม อาจจะเป็นการอ่านหนังสือ หรือ เขียนบทความดี ๆ ให้คนอื่นได้อ่านก็ได้
อ้างอิงจาก คอลัมน์ : สวัสดีแอคชัวรี ฉบับที่ 53 ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2562
เขียนโดย อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ) FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons) ขอสงวนสิทธิ์ของเนื้อหาในบทความ ไม่ให้นำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ ในเชิงพาณิชย์ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากทางบริษัท ABS เท่านั้น
コメント